วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสุพรรณบุรี

 อันดับที่ 1. บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ (บึงบัวแดง)
เป็นบึงขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2,700 กว่าไร่ อยู่ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช เป็นแหล่งรวบรวมปลาสวยงาม และพันธ์ปลาหายาก
ตื่นตากับอาควาเรี่ยมน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สัมผัสโลกใต้น้ำผ่านอุโมงค์ปลาแห่งแรกของประเทศไทย
แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่รวบรวมผักพื้นบ้านกว่า 500 ชนิด
กรงนกใหญ่ ที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายสภาพธรรมชาติ ชมพันธ์นกหายากกว่า 30 ชนิด
เป็นป่าสนสองใบบนยอดเขาพุเตย ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเล 700 เมตร ป่าสนสองใบหลายพันต้นนี้ มีอายุกว่า 200-300 ปี บนป่าสนกางเต็นท์พักแรมได้ แต่ไม่มีแหล่งน้ำ ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวทะเลหมอก จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงาม และยอดเขาเทวดา หมู่บ้านกระเหรี่ยงตะเพินคี่ ถ้ำ น้ำตก ที่รอนักเดินทางที่ชอบธรรมชาติและการค้นหา   ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ ประกอบไปด้วยพืชพันธุ์มามายหลายชนิด ทั้งไม้ดอกสีสันสดสวยงามตระการตา และไม้ใบ ไม้ดอก ไม้ผล ไม้เมืองหนาว ทุ่งทานตะวัน ทุ่งดอกกระเจียว ทุ่งทิวลิป
ละที่ที่เป็นมากกว่า...ต้นไม้...ดอกไม้...
เป็นพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำ (Relief)
ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เป็นศิลปแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปไพรกเม็ง อายุประมาณ 1300-1400 ปีมาแล้ว
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านงานศิลปะ จิตกรรม ปฎิมากรรม และสื่อผสม เทคนิคที่ตื่นตาตื่นใจ และล่าสุด หมู่บ้านมังกรสวรรค์ รูปแบบของหมู่บ้านได้จำลอง "เมืองลีเจียง" ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณอายุนับพันปี
ตลาดสามชุกเป็นแหล่งค้าขายสินค้าทางน้ำที่สำคัญในสมัย โบราณ ตัวอำเภอยังเป็นตลาดเก่าที่สร้างด้วยไม้เรียงติดกัน อยู่ริมฝังตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน วิถีีชีวิตของผู้คนในชุมชน, อาคารพิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงค์จีนารักษ์ ร้านขายยาจีน-ไทยโบราณ ร้านกาแฟโบราณ และร้านถ่ายรูปโบราณ ยังคงมีสภาพและรูปแบบเดิมเหมาะแก่การอนุรักษ์       

ถ้ามนุษย์ไม่มีศาสนาจะเป็นอย่างไร?

ศาสนาย่อมคู่กับความเชื่อเสมอ ศาสนาคือคำสอนให้ปฏิบัติตาม ซึ่งก็ต้องอาศัยความเชื่อมั่นในคำสอนจึงจะปฏิบัติตามได้ ซึ่งความเชื่อมั่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก คือจากจิตที่ยังว่างแล้วปลูกฝังให้เกิดมีความเชื่อขึ้นมา และเมื่อหมั่นตอกย้ำความเชื่อนั้นบ่อยๆ ความเชื่อในศาสนาก็จะมั่นคงมากขึ้น และถ้าใครได้รับคำสอนที่ดีจากศาสนา เขาก็ย่อมที่จะได้รับแต่ความสุขสงบ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครได้รับแต่การปลูกฝังให้มีแต่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีคำสอนที่ดีอยู่ด้วย ก็จะทำให้เขากลายเป็นคนคลั่งศาสนา ที่ผู้สอนศาสนาสามารถชี้นำให้เขาทำอะไรก็ได้ ที่แม้จะตรงข้ามกับหลักคำสอนของศาสนา โดยการอ้างว่านี่เป็นคำสอนของศาสนา ซึ่งนี่คือผลเสียจากการนับถือศาสนาโดยขาดปัญญส่วนบางคนที่นับถือศาสนาแต่ไม่ได้รับการปลูกฝัง ให้มีความเชื่ออย่างเหนียวแน่นในศาสนามาตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นและได้พบสิ่งที่ไม่ดีของศาสนาที่ตนนับถือบ่อยๆ เขาก็อาจจะขาดความเชื่อมั่นในศาสนาที่เขานับถืออยู่ได้ หรือบุคคลที่แม้ได้รับการปลูกฝังให้มีความเชื่อมั่นในศาสนามาก่อนแล้วก็ตาม แต่เมื่อโตขึ้นและได้เรียนรู้โลกมากขึ้น และได้พบสิ่งที่ไม่ดีของศาสนาที่เขานับถือบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เขาขาดความเชื่อมั่นในศาสนาที่เขานับถืออยู่ไดบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นในศาสนานี้ก็แยกได้เป็นสองจำพวกคือ พวกที่มีปัญญาน้อย กับพวกที่มีปัญญามาก ซึ่งคนที่มีปัญญาน้อยนี้ค่อนข้างเสี่ยงที่จะทำความชั่วได้ง่าย เพราะขาดสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจหรือขาดภูมิคุ้มกันความชั่ว คือเมื่อเขาไม่เชื่อว่าถ้าทำชั่วแล้วจะต้องได้รับผลอันเลวร้ายหรือไม่ดี ภายหลังเมื่อตายไปแล้ว เขาก็ย่อมที่จะไม่เกรงกลัวการทำความชั่ว จึงมีโอกาสที่บุคคลประเภทนี้จะทำความชั่วได้ง่าย และผลเสียก็จะเกิดแก่ทั้งคนที่ทำความชั่วเอง และแก่สังคมไปด้วยเสมอ อย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน หรือคนที่มีปัญญาน้อยบางคน เมื่อเห็นว่าเมื่อตายไปแล้วก็จะไม่มีโลกหน้าอีก จึงได้พยายามแสวงหาและเสพความสุขให้เต็มอิ่มในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าตายไปแล้วก็จะไม่ได้เสพอีก ซึ่งการแสวงหาและเสพของเขานั้นบางครั้งก็แสวงหาและเสพในทางที่ผิด ที่จะมีผลกลับมาสร้างความทุกข์ให้กับตัวของเขาเองและแก่สังคมด ส่วนพวกที่มีปัญญามากนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเขาย่อมมีปัญญามองเห็นว่าการทำความชั่วนั้นจะมีแต่ผลเสียหรือไม่ดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าตายแล้วจะเป็นเช่นไรก็ตาม และมองเห็นว่าการทำความดีนั้นจะมีแต่ผลดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าตายไปแล้วจะเป็นเช่นไรก็ตาม ดังนั้นคนที่มีปัญญาที่แท้จริงนี้ แม้ไม่มีศาสนาเขาก็ยังทำแต่ความดีและไม่ทำความชั่วได้เหมือนกับคนที่มีศาสนาผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นว่า คนที่ทำความชั่ว ก็จะทำให้ชีวิตในปัจจุบันมีแต่ปัญหา มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย หาความสงบสุขไม่ได้ เพราะการทำความชั่วของเขาในปัจจุบันนั่นเอง แม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามี เขาก็ยังต้องได้รับผลที่ไม่ดีอีกอย่างแน่นอน แต่ถึงโลกหน้าจะไม่มี เขาก็ได้รับผลที่ไม่ดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ส่วนคนที่ทำความดีนั้น ชีวิตในปัจจุบันของเขาก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีความเดือดร้อน เพราะการทำความดีของเขาในปัจจุบัน แม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามี เขาก็ยังต้องได้รับผลดีอีกอย่างแน่นอน แต่ถึงโลกหน้าจะไม่มี เขาก็ไม่ขาดทุนเพราะเขาก็ได้รับผลดีอยู่แล้วในปัจจุบันสรุปได้ว่า การที่คนเราจะทำความชั่วนั้น ขึ้นอยู่กับการขาดความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนา และการขาดปัญญา ส่วนคนที่จะทำความดีนั้นก็ ขึ้นอยู่กับการมีความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนา และมีปัญญา ดังนั้นการสร้างโลกให้มีสันติภาพ จึงมีอยู่ ๒ วิธี คือ(๑) พยายามเผยแพร่คำสอนในส่วนที่ดีของทุกศาสนา ให้ผู้นับถือมีความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนาที่เขานับถือให้มากขึ้น และ (๒)พยายามให้ความรู้ที่ถูกต้อง หรือให้การศึกษาที่ถูกต้องที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งในชีวิตได้ แก่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้มากที่สุด เพื่อให้เขามีปัญญาที่ถูกต้องมากขึ้น ถ้าทำได้โลกจึงจะมีสันติภาพที่มั่นคงได้

ความสนใจของวัยรุ่น

ความสนใจของวัยรุ่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะศึกษา ไม่น้อยไปกว่าเรื่องธรรมชาติของวัยรุ่น โดยขอยกของ Ernest R. Hilgard ในหนังสือ Introduction to Psychology ซึง “ความสนใจ หมายถึง แนวโน้มทางด้านจิใจ หรือความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลทำให้บุคคลนั้นเอาใจใส่ และรู้สึกพึงพอใจในการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งนั้น” และยังมีนักจิตวิทยาให้ความเห็นว่า ความสนใจของคนเราจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ ลักษณะบุคคลิกภาพของคน ๆ นั้น บวกกับสิ่งแวดล้อม การศึกษา และสถานะทางเศรษฐกิจทางสังคมของผู้นั้นด้วย ฯลฯ และความสนใจของวัยรุ่นก็จะแตกต่างไปจากวัยเด็กอีกด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางด้านร่างกาย บทบาททางสังคม และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แนวคิดของ โครว์ และโครว์ มีความเห็นว่าความสนใจของวัยรุ่นมี 3 ประเภทด้วยกันคือ 1.ความสนใจในเรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง (Personal interest) 2.ความสนใจทางสังคม ( Social interest) 3.ความสนใจทางอาชีพ (Vocational interest) โดยอธิบายว่า ความสนใจทั้ง 3 ประเภทดังกล่าวนี้ มีความสัมพันธ์กันที่เห็นได้ชัด คือความสนใจเกี่ยวกับตัวเอง และความสนใจทางสังคม จะมีอิทธิพลต่อลักษณะการเลือกอาชีพของวัยรุ่นมาก โดยวัยรุ่นจะใช้เหตุและผล ซึ่งผิดกับวัยเด็กมักเป็นแนวคิดง่าย ๆ ตามประสาเด็กซึ่งคิดง่าย เปลี่ยนง่าย เฮอร์ลอก (Hurlock, E. B.) ได้แบ่งความสนใจของวัยรุ่นออกได้ดังนี้ คือ ความสนใจทางสังคม (Social Interests) มักจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และบุคคลในสังคม เช่น งานเลี้ยงต่าง ๆ และการพบปะสนทนากัน มีความสนใจในกิจกรรมทางสังคม ทั้งที่เป็นกลุ่มใหญ่และในหมู่เพื่อนสนิท ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจของเขาที่จะเลือกกิจกรรม และการมีโอกาสที่จะเข้าร่วมกิจกรรมได้ การพบปะสนทนากันเป็นกลุ่มระหว่างเพื่อนสนิท เป็นกิจกรรที่เด็กวัยรุ่นชอบทำ เรื่องที่เขาพูดคุยกันก็ขึ้นอยู่กับเพศ คือ วัยรุ่นหญิงมักพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง งานเลี้ยง การมีนัดกับเพศตรงข้าม เรืองตลกขบขัน หนังสือ เรื่องของครูอาจารย์และเพื่อนที่โรงเรียน ส่วนวัยรุ่นชายจะชอบพูดคุยถึงเรื่องกีฬา ภาพยนตร์ การมีนัดกับเพศตรงข้าม และเรื่องการเมือง นอกจกนี้ทั้งสองเพศ ยังให้ความสนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกกดขี่จากสังคมหรือไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งความสนใจเหล่านี้จะแสดงออกโดยการเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน มหาวิทยาลัย ตลอดจนในชุมชนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้

วิธีแก้ไขปัญหาความยากจน

ในหลายประเทศจนความยากถูกประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากช่องว่างทางฐานะมากเกินไปคน จนนอกจากจะขาดทรัพยากรในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานแล้ว ยังมีทัศนคติว่าว่าพวกตนไม่มีวันหนีความอดยากไปไหนได้ จึงทำให้ไม่สามารถเริ่มคิดหาทางออกได้ วิธีที่เหล่านักการเมืองรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์มักกล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจเติบโต จะทำให้ความ ยากจนลดลง แต่นี่ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยตรง เพราะคนรวยเป็นคนลงทุนเงิน โดยจ้างคนจนให้ทำงาน แม้ว่าความเป็นอยู่ของคนจนอาจพ้นเส้นความยากจน แต่ผู้ได้ผลประโยชน์โดยตรงคือคนรวยยิ่งรวยขึ้น (ข้าพเจ้าไม่ต่อต้านวิธีนี้ เพียงแต่เสนอประเด็นว่าผู้แก้ปัญหายังไม่จัดการที่ต้นเหตุ) หาก เรานับวิธีจ้างงานของคนรวย ว่าช่วยแก้ปัญหาคนจน ก็นับว่าวิธีนี้เป็นการอุ้มคนจนอยู่ แต่ดีกว่าการบริจาคเงินเพียงฝ่ายเดียว เพราะคนจนต้องขออยู่เรื่อยๆ ถึงจะมีกิน อีก วิธีที่โลกเขาจัดการกันมาในประเทศที่เจริญแล้ว นั้นคือ การเฉลี่ยทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร ด้วยการเก็บภาษีมาอุดหนุนสวัสดิการขั้นพื้นฐาน กล่าวคือรัฐจะเก็บภาษีทั้งทางมรดก(ซึ่งไทยยังไม่เก็บ) ภาษีบ้านและที่ดิน โดยเฉพาะบ้านหลังที่ 2 จะ จัดเก็บในอัตราก้าวหน้ากว่าหลังแรก เพื่อนำภาษีไปช่วยให้ราษฎรได้มีบ้านอยู่เช่นเดียวกัน หรือทำให้เด็กได้เรียนฟรีในมาตรฐานเดียวกัน สามารถรักษาพยาบาลกับหมอเก่งๆตลอดจนมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอ และแม้คนไม่มีงานทำก็มีรายได้พออยู่พอกิน วิธีการแบบนี้เขาเรียกว่ารัฐสวัสดิการ หรือ state welfare วิธี นี้ถือว่ามีความขัดแย้งในตัวเองพอสมควร เพราะว่าหากเก็บภาษีมากเข้าทำให้คนไม่อยากลงทุน และไม่อยากใช้สอยเงินในมือ ทำให้เศรษฐกิจไม่โตทันใจ พรรคการเมืองจึงพากันไม่กล้าใช้นโยบาลเก็บภาษีอย่างเต็มรูปแบบ อีกวิธีหนึ่ง และเกือบจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะกล่าวถึง นั่นคือการการปล่อยกู้เงินจำนวนเล็กน้อย(สำหรับเรา)ให้คนจน หรือเรียกว่า Micro Credit แล้ว สอนวิธีการจัดการเงินที่ถูกต้อง จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านที่กู้เงินมารวมตัวกัน เพื่อให้พวกเขาดูแลกันและกัน และช่วยดูแลให้เพื่อนสมาชิกเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างถูกต้อง คือซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์มาผลิตสินค้าขาย หรือเอาไปซ่อมบ้าน ตลอดจนส่งลูกเรียน ไม่เอาไปให้สามีกินเหล้า วิธี การนี้น่าสนใจ เพราะคนจนที่ว่าอยู่ในบังคลาเทศและอินเดีย ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงกรอกใบสมัครบัญชีธนาคารไม่ได้ ไม่เข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนัก และเงินกู้ก็ยังน้อยจนธนาคารหลายแห่งรู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะทวงหนี้ ปล่อยให้กู้หนี้นอกระบบสุดแสนแพงไป ทีมไมโครเครดิตแห่งธนาคารกรามีนจึงพากันไปตั้งธนาคารตามชนบทอันห่างไกล เพื่อช่วยกันอธิบายถึงระบบธนาคาร ว่าใช้กลุ่มแม่บ้านด้วยกันในการทวงหนี้ เพราะมิฉะนั้นหากใครเบี้ยวก็ต้องช่วยกันออกเงินแทน และพากันปรับทัศนคติใหม่ ว่าพวกเธอสามารถเอาชนะความยากจนได้ ขอเพียงให้กล้าเท่านั้นเอง นับได้ว่าวิธีนี้ช่วยคนจนแบบพากันก้าวเดินไปด้วยพลังของเขาเอง โดยมีทีมหนุนหลัง วิธี การสุดท้ายที่ขอกล่าวถึง คือ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยตรง แต่ให้ความรู้ทางวิชาการ ตลอดจนวิชาชีพ เพื่อให้คนจนหาทางทำมาหากินอย่างสุจริตได้ เช่น การสอนให้อ่านออกเขียนได้ มีวุฒิสามารถสมัครงาน มีเงินเดือนเป็นหลักแหล่ง สอนวิธีผลิตสินค้าจากท้องถิ่นมาขาย สอนการทำบัญชีรายรับรายจ่าย สอนไม่ให้มัวเมากับอบายมุข เพื่อให้เวลาใช้ไปกับการทำมาหากินแทน

ปรากฏการณ์โลกร้อน

รากฏการณ์โลกร้อน (อังกฤษ: Global warming) หมายถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา นับถึง พ.ศ. 2548 อากาศใกล้ผิวดินทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้น 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส [1] ซึ่งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ของสหประชาชาติได้สรุปไว้ว่า “จากการสังเกตการณ์การเพิ่มอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 2490) ค่อนข้างแน่ชัดว่าเกิดจากการเพิ่มความเข้มของแก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลในรูปของปรากฏการณ์เรือนกระจก” [1] ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์และการระเบิดของภูเขาไฟ อาจส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมจนถึง พ.ศ. 2490 และมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการลดอุณหภูมิหลังจากปี 2490 เป็นต้นมา[2][3] ข้อสรุปพื้นฐานดังกล่าวนี้ได้รับการรับรองโดยสมาคมและสถาบันการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยกว่า 30 แห่ง รวมทั้งราชสมาคมทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญของประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ แม้นักวิทยาศาสตร์บางคนจะมีความเห็นโต้แย้งกับข้อสรุปของ IPCC อยู่บ้าง [4] แต่เสียงส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลกโดยตรงเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ [5][6] แบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศที่สรุปโดย IPCC บ่งชี้ว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยที่ผิวโลกจะเพิ่มขึ้น 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2544–2643) [1] ค่าตัวเลขดังกล่าวได้มาจากการจำลองสถานการณ์แบบต่าง ๆ ของการแผ่ขยายแก๊สเรือนกระจกในอนาคต รวมถึงการจำลองค่าความไวภูมิอากาศอีกหลากหลายรูปแบบ แม้การศึกษาเกือบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ช่วงเวลาถึงเพียงปี พ.ศ. 2643 แต่ความร้อนจะยังคงเพิ่มขึ้นและระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีกหลายสหัสวรรษ แม้ว่าระดับของแก๊สเรือนกระจกจะเข้าสู่ภาวะเสถียรแล้วก็ตาม การที่อุณหภูมิและระดับน้ำทะเลเข้าสู่สภาวะดุลยภาพได้ช้าเป็นเหตุมาจากความจุความร้อนของน้ำในมหาสมุทรซึ่งมีค่าสูงมาก [1] การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศสุดโต่ง (extreme weather) ที่รุนแรงมากขึ้น ปริมาณและรูปแบบการเกิดหยาดน้ำฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบอื่น ๆ ของปรากฏการณ์โลกร้อนได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร การเคลื่อนถอยของธารน้ำแข็ง การสูญพันธุ์พืช-สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งการกลายพันธุ์และแพร่ขยายโรคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ได้แก่ปริมาณของความร้อนที่คาดว่าจะเพิ่มในอนาคต ผลของความร้อนที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดกับแต่ละภูมิภาคบนโลกว่าจะแตกต่างกันอย่างไร รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แทบทุกประเทศได้ลงนามและให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต ซึ่งมุ่งประเด็นไปที่การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก แต่ยังคงมีการโต้เถียงกันทางการเมืองและการโต้วาทีสาธารณะไปทั่วทั้งโลกเกี่ยวกับมาตรการว่าควรเป็นอย่างไร จึงจะลดหรือย้อนกลับความร้อนที่เพิ่มขึ้นของโลกในอนาคต หรือจะปรับตัวกันอย่างไรต่อผลกระทบของปรากฏการณ์โลกร้อนที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้น