วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557
วิธีแก้ไขปัญหาความยากจน
ในหลายประเทศจนความยากถูกประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากช่องว่างทางฐานะมากเกินไปคน จนนอกจากจะขาดทรัพยากรในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานแล้ว ยังมีทัศนคติว่าว่าพวกตนไม่มีวันหนีความอดยากไปไหนได้ จึงทำให้ไม่สามารถเริ่มคิดหาทางออกได้
วิธีที่เหล่านักการเมืองรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์มักกล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจเติบโต จะทำให้ความ ยากจนลดลง แต่นี่ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยตรง เพราะคนรวยเป็นคนลงทุนเงิน โดยจ้างคนจนให้ทำงาน แม้ว่าความเป็นอยู่ของคนจนอาจพ้นเส้นความยากจน แต่ผู้ได้ผลประโยชน์โดยตรงคือคนรวยยิ่งรวยขึ้น (ข้าพเจ้าไม่ต่อต้านวิธีนี้ เพียงแต่เสนอประเด็นว่าผู้แก้ปัญหายังไม่จัดการที่ต้นเหตุ)
หาก เรานับวิธีจ้างงานของคนรวย ว่าช่วยแก้ปัญหาคนจน ก็นับว่าวิธีนี้เป็นการอุ้มคนจนอยู่ แต่ดีกว่าการบริจาคเงินเพียงฝ่ายเดียว เพราะคนจนต้องขออยู่เรื่อยๆ ถึงจะมีกิน
อีก วิธีที่โลกเขาจัดการกันมาในประเทศที่เจริญแล้ว นั้นคือ การเฉลี่ยทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร ด้วยการเก็บภาษีมาอุดหนุนสวัสดิการขั้นพื้นฐาน กล่าวคือรัฐจะเก็บภาษีทั้งทางมรดก(ซึ่งไทยยังไม่เก็บ) ภาษีบ้านและที่ดิน โดยเฉพาะบ้านหลังที่ 2 จะ จัดเก็บในอัตราก้าวหน้ากว่าหลังแรก เพื่อนำภาษีไปช่วยให้ราษฎรได้มีบ้านอยู่เช่นเดียวกัน หรือทำให้เด็กได้เรียนฟรีในมาตรฐานเดียวกัน สามารถรักษาพยาบาลกับหมอเก่งๆตลอดจนมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอ และแม้คนไม่มีงานทำก็มีรายได้พออยู่พอกิน วิธีการแบบนี้เขาเรียกว่ารัฐสวัสดิการ หรือ state welfare
วิธี นี้ถือว่ามีความขัดแย้งในตัวเองพอสมควร เพราะว่าหากเก็บภาษีมากเข้าทำให้คนไม่อยากลงทุน และไม่อยากใช้สอยเงินในมือ ทำให้เศรษฐกิจไม่โตทันใจ พรรคการเมืองจึงพากันไม่กล้าใช้นโยบาลเก็บภาษีอย่างเต็มรูปแบบ
อีกวิธีหนึ่ง และเกือบจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะกล่าวถึง นั่นคือการการปล่อยกู้เงินจำนวนเล็กน้อย(สำหรับเรา)ให้คนจน หรือเรียกว่า Micro Credit แล้ว สอนวิธีการจัดการเงินที่ถูกต้อง จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านที่กู้เงินมารวมตัวกัน เพื่อให้พวกเขาดูแลกันและกัน และช่วยดูแลให้เพื่อนสมาชิกเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างถูกต้อง คือซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์มาผลิตสินค้าขาย หรือเอาไปซ่อมบ้าน ตลอดจนส่งลูกเรียน ไม่เอาไปให้สามีกินเหล้า
วิธี การนี้น่าสนใจ เพราะคนจนที่ว่าอยู่ในบังคลาเทศและอินเดีย ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงกรอกใบสมัครบัญชีธนาคารไม่ได้ ไม่เข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนัก และเงินกู้ก็ยังน้อยจนธนาคารหลายแห่งรู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะทวงหนี้ ปล่อยให้กู้หนี้นอกระบบสุดแสนแพงไป ทีมไมโครเครดิตแห่งธนาคารกรามีนจึงพากันไปตั้งธนาคารตามชนบทอันห่างไกล เพื่อช่วยกันอธิบายถึงระบบธนาคาร ว่าใช้กลุ่มแม่บ้านด้วยกันในการทวงหนี้ เพราะมิฉะนั้นหากใครเบี้ยวก็ต้องช่วยกันออกเงินแทน และพากันปรับทัศนคติใหม่ ว่าพวกเธอสามารถเอาชนะความยากจนได้ ขอเพียงให้กล้าเท่านั้นเอง
นับได้ว่าวิธีนี้ช่วยคนจนแบบพากันก้าวเดินไปด้วยพลังของเขาเอง โดยมีทีมหนุนหลัง
วิธี การสุดท้ายที่ขอกล่าวถึง คือ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยตรง แต่ให้ความรู้ทางวิชาการ ตลอดจนวิชาชีพ เพื่อให้คนจนหาทางทำมาหากินอย่างสุจริตได้ เช่น การสอนให้อ่านออกเขียนได้ มีวุฒิสามารถสมัครงาน มีเงินเดือนเป็นหลักแหล่ง สอนวิธีผลิตสินค้าจากท้องถิ่นมาขาย สอนการทำบัญชีรายรับรายจ่าย สอนไม่ให้มัวเมากับอบายมุข เพื่อให้เวลาใช้ไปกับการทำมาหากินแทน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น