วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557
ถ้ามนุษย์ไม่มีศาสนาจะเป็นอย่างไร?
ศาสนาย่อมคู่กับความเชื่อเสมอ ศาสนาคือคำสอนให้ปฏิบัติตาม ซึ่งก็ต้องอาศัยความเชื่อมั่นในคำสอนจึงจะปฏิบัติตามได้ ซึ่งความเชื่อมั่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก คือจากจิตที่ยังว่างแล้วปลูกฝังให้เกิดมีความเชื่อขึ้นมา และเมื่อหมั่นตอกย้ำความเชื่อนั้นบ่อยๆ ความเชื่อในศาสนาก็จะมั่นคงมากขึ้น และถ้าใครได้รับคำสอนที่ดีจากศาสนา เขาก็ย่อมที่จะได้รับแต่ความสุขสงบ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครได้รับแต่การปลูกฝังให้มีแต่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีคำสอนที่ดีอยู่ด้วย ก็จะทำให้เขากลายเป็นคนคลั่งศาสนา ที่ผู้สอนศาสนาสามารถชี้นำให้เขาทำอะไรก็ได้ ที่แม้จะตรงข้ามกับหลักคำสอนของศาสนา โดยการอ้างว่านี่เป็นคำสอนของศาสนา ซึ่งนี่คือผลเสียจากการนับถือศาสนาโดยขาดปัญญส่วนบางคนที่นับถือศาสนาแต่ไม่ได้รับการปลูกฝัง ให้มีความเชื่ออย่างเหนียวแน่นในศาสนามาตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นและได้พบสิ่งที่ไม่ดีของศาสนาที่ตนนับถือบ่อยๆ เขาก็อาจจะขาดความเชื่อมั่นในศาสนาที่เขานับถืออยู่ได้ หรือบุคคลที่แม้ได้รับการปลูกฝังให้มีความเชื่อมั่นในศาสนามาก่อนแล้วก็ตาม แต่เมื่อโตขึ้นและได้เรียนรู้โลกมากขึ้น และได้พบสิ่งที่ไม่ดีของศาสนาที่เขานับถือบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เขาขาดความเชื่อมั่นในศาสนาที่เขานับถืออยู่ไดบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นในศาสนานี้ก็แยกได้เป็นสองจำพวกคือ พวกที่มีปัญญาน้อย กับพวกที่มีปัญญามาก ซึ่งคนที่มีปัญญาน้อยนี้ค่อนข้างเสี่ยงที่จะทำความชั่วได้ง่าย เพราะขาดสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจหรือขาดภูมิคุ้มกันความชั่ว คือเมื่อเขาไม่เชื่อว่าถ้าทำชั่วแล้วจะต้องได้รับผลอันเลวร้ายหรือไม่ดี ภายหลังเมื่อตายไปแล้ว เขาก็ย่อมที่จะไม่เกรงกลัวการทำความชั่ว จึงมีโอกาสที่บุคคลประเภทนี้จะทำความชั่วได้ง่าย และผลเสียก็จะเกิดแก่ทั้งคนที่ทำความชั่วเอง และแก่สังคมไปด้วยเสมอ อย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน หรือคนที่มีปัญญาน้อยบางคน เมื่อเห็นว่าเมื่อตายไปแล้วก็จะไม่มีโลกหน้าอีก จึงได้พยายามแสวงหาและเสพความสุขให้เต็มอิ่มในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าตายไปแล้วก็จะไม่ได้เสพอีก ซึ่งการแสวงหาและเสพของเขานั้นบางครั้งก็แสวงหาและเสพในทางที่ผิด ที่จะมีผลกลับมาสร้างความทุกข์ให้กับตัวของเขาเองและแก่สังคมด ส่วนพวกที่มีปัญญามากนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเขาย่อมมีปัญญามองเห็นว่าการทำความชั่วนั้นจะมีแต่ผลเสียหรือไม่ดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าตายแล้วจะเป็นเช่นไรก็ตาม และมองเห็นว่าการทำความดีนั้นจะมีแต่ผลดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าตายไปแล้วจะเป็นเช่นไรก็ตาม ดังนั้นคนที่มีปัญญาที่แท้จริงนี้ แม้ไม่มีศาสนาเขาก็ยังทำแต่ความดีและไม่ทำความชั่วได้เหมือนกับคนที่มีศาสนาผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นว่า คนที่ทำความชั่ว ก็จะทำให้ชีวิตในปัจจุบันมีแต่ปัญหา มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย หาความสงบสุขไม่ได้ เพราะการทำความชั่วของเขาในปัจจุบันนั่นเอง แม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามี เขาก็ยังต้องได้รับผลที่ไม่ดีอีกอย่างแน่นอน แต่ถึงโลกหน้าจะไม่มี เขาก็ได้รับผลที่ไม่ดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ส่วนคนที่ทำความดีนั้น ชีวิตในปัจจุบันของเขาก็ย่อมที่จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีความเดือดร้อน เพราะการทำความดีของเขาในปัจจุบัน แม้ตายไปแล้วถ้าโลกหน้ามี เขาก็ยังต้องได้รับผลดีอีกอย่างแน่นอน แต่ถึงโลกหน้าจะไม่มี เขาก็ไม่ขาดทุนเพราะเขาก็ได้รับผลดีอยู่แล้วในปัจจุบันสรุปได้ว่า การที่คนเราจะทำความชั่วนั้น ขึ้นอยู่กับการขาดความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนา และการขาดปัญญา ส่วนคนที่จะทำความดีนั้นก็ ขึ้นอยู่กับการมีความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนา และมีปัญญา ดังนั้นการสร้างโลกให้มีสันติภาพ จึงมีอยู่ ๒ วิธี คือ(๑) พยายามเผยแพร่คำสอนในส่วนที่ดีของทุกศาสนา ให้ผู้นับถือมีความเชื่อมั่นในคำสอนที่ดีของศาสนาที่เขานับถือให้มากขึ้น และ (๒)พยายามให้ความรู้ที่ถูกต้อง หรือให้การศึกษาที่ถูกต้องที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งในชีวิตได้ แก่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้มากที่สุด เพื่อให้เขามีปัญญาที่ถูกต้องมากขึ้น ถ้าทำได้โลกจึงจะมีสันติภาพที่มั่นคงได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น